วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ดนตรี-นาฎศิลป์



สมัยสุโขทัย  หลักศิลาจารึกสมัยสุโขทัยกล่าวถึงเครื่องดนตรีไทยไว้มากมาย มีวงดนตรีไทยดังนี้ วงบรรเลงพิณ วงขับไม้
วงปี่พาทย์เครื่องห้า วงมโหรี
สมัยทวารวดี ปรากฎหลักฐานในภาพปูนปั้นที่เมืองโบราณคูบัว จังหวัดราชบุรี เป็นภาพผู้หญิงห้าคนเล่นดนตรี
สมัยอยุธยา เครื่อง ดนตรีมีครบถ้วนทั้งดีด สี ตี เป่า ชาวบ้านนิยมเล่นกันมาก จนในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ต้องออกกฎมณเฑียรบาล ห้ามเป่าขลุ่ย เป่าปี่ สีซอ ดีดกระจับปี่ ดีดจะเข้ ตีโทนทับ ในเขตพระราชฐาน
รัชกาลที่ 1
  มีการเพิ่มกลองทัดในวงปี่พาทย์ขึ้นอีกหนึ่งลูก รวมเป็นสองลูก เสียงสูงลูกหนึ่งเรียกว่า “ตัวผู้” เสียงต่ำลูกหนึ่งเรียกว่า “ตัวเมีย
รัชกาลที่ 2 พระองค์ทรงซอสามสายได้ไพเราะ (ซอสามสายของพระองค์ได้มีนามว่า ซอสายฟ้าฟาด)
รัชกาลที่ 3  ทรงให้ยกเลิกละครหลวง การละครและดนตรีจึงไปเจริญรุ่งเรืองอยู่ตามวังของเจ้านาย ซึ่งส่งผลให้ดนตรีไทยแพร่หลายมาถึงปัจจุบัน  เกิดเครื่องดนตรีขึ้นอีกสองชนิดในวงปี่พาทย์ คือระนาดทุ้มกับฆ้องวงเล็ก
รัชกาลที่ 4  
เกิดระนาดเอกเหล็ก ระนาดทุ้มเหล็ก 
รัชกาลที่ 5 สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ฯ เสด็จยุโรปนำละครโอเปรา มาปรับปรุงเป็น ละครดึกดำบรรพ์ ปรับปรุงวงปี่พาทย์ให้มีเสียงนุ่มนวลขึ้นเพื่อประกอบการแสดงละครรูปแบบใหม่ โดยนำเครื่องดนตรีที่มีเสียง มาแทนเครื่องดนตรีที่มีเสียงดังหรือเสียงเล็กแหลม เรียกวงปี่พาทย์นี้ว่า วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์”รัชกาลที่ 6  ได้การปรับปรุงวงปี่พาทย์ขึ้นมาอีกชนิดหนึ่ง โดยนำวงดนตรีของมอญมาผสมกับ วงปี่พาทย์ของไทย ต่อมาเรียกวงดนตรีผสมนี้ว่า “วงปี่พาทย์มอญ” และกลายเป็นที่นิยมใช้บรรเลงประโคมในงานศพ
สมัยรัชกาลที่ 7    ได้ทรงสนพระทัยทางด้าน ดนตรีไทย มากเช่นกัน พระองค์ได้พระราชนิพนธ์ เพลงไทยที่ไพเราะไว้ถึง 3 เพลง คือ เพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั่ง 3 ชั้น เพลงเขมรลออองค์ (เถา) และเพลงราตรีประดับดาว (เถา)
สมัยรัชกาลที่ 9  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช  ได้ทรงสนพระทัยทางด้าน ดนตรีไทย มากเช่นกัน ในยุคของพระองค์ได้มีการวัดความถี่ของเสียงดนตรีไทยให้เป็นมาตรฐาน สมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ทรงประพันธ์เพลง ไทยดำเนินดอย
 งค์ประกอบของดนตรี
1.  จังหวะ (Rhythmหมายถึง การเคลื่อนไหวของทำนองเพลง อาจกำหนดไว้เป็นความช้าเร็วต่าง ๆ กัน เช่นเพลงจังหวะช้า เพลงจังหวะเร็ว ซึ่งจังหวะจะบอกถึงลีลา อารมณ์ของบทเพลงนั้น ๆ ถ้าเป็นจังหวะของดนตรีไทย มีเครื่องดนตรีประเภท ฉิ่ง จังหวะหน้าทับ และจังหวะสามัญ เป็นตัวกำกับ
2.  เสียงดนตรี (Toneเป็นเสียงสั่นสะเทือนของอากาศอย่างสม่ำเสมอ เช่น การร้อง การเป่า การดีดและการสี แบ่งเป็น ระดับเสียง ความยาวของเสียง ความเข้มของเสียง และคุณภาพของเสียง
3.  ทำนอง (Melodyหมายถึง การจัดเรียงลำดับเสียงต่ำ เสียงสูง เสียงสั้น เสียงยาว เสียงทุ้ม ของดนตรีหรือบทเพลงทำนองของดนตรีหรือทำนองของบทเพลงแต่ละเพลง
4.  การประสานเสียง (
Harmonyหมายถึง การผสมผสานเสียงตั้งแต่ 2 เสียงขึ้นไป โดยเรียบเรียงนำเสียงของเครื่องดนตรีแต่ละเครื่องและเสียงร้องเพลงของมนุษย์ที่มีระดับเสียงต่างกัน เปล่งเสียงออกมาพร้อมกัน
5.   คีตลักษณ์ หรือรูปแบบ (
Music Form)  โครงสร้างของบทเพลงที่มีแบบแผน 
6.   รูปพรรณหรือพื้นผิว (Texture) เป็น ความสัมพันธ์ระหว่างทำนองกับการประสาน ทำให้เกิดภาพรวมของ
6.1 แบบโมโนโฟนี (
Monophony) ดนตรีแนวทำนองเดียว ไม่มีเสียงประสานหรือองค์ประกอบใด6.2 แบบโฮโมโฟนี(Homophony) มีทำนองหลักและทำนองประสาน ทำให้ไพเราะ เช่น เพลงไทยสากล เพลงพื้นบ้าน
6.3 แบบโพลิโฟนี(Polyphony) มีทำนองหลายแนวมาประสานกับทำนองหลัก
7.  สีสันของเสียง (
Tone Color) คุณสมบัติของเสียงของเครื่องดนตรีและเสียงร้องของมนุษย์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น